แม้คนไทยเราจะค่อนข้างคุ้นเคยกับ “น้ำหมัก” ในประเภทต่างๆ ที่เรามีมาแต่โบราณ และคนไทยเราจะนำพืชในท้องถิ่นของเรามาหมักและบริโภคกันมาโดยตลอด ซึ่งหลายสูตรนับว่ามีประโยชน์สูงมาก หนูดีเองก็ทานเป็นระยะๆ เช่น น้ำหมักตรีผลา น้ำหมักประดง น้ำหมักจตุผลาธิกะ ฯลฯ
แต่วันนี้อยากจะมาชวนทานน้ำหมักรสเปรี้ยวๆ ที่อาจทานง่ายกว่าน้ำหมักที่เป็นสมุนไพรสักนิด เพราะเป็นน้ำที่หมักมาจากแอปเปิ้ล ผลไม้ทานอร่อยของโปรดของหลายๆ คนนั่นเอง
หนูดีเองสมัยก่อนไม่รู้จักน้ำหมักและไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเคยคิดว่าน้ำหมักกลิ่นออกเปรี้ยวนั้นจะดีได้อย่างไร แถมส่วนใหญ่ยังมีรูปลักษณะที่น่ากลัวอีกต่างหาก คือสีออกดำบ้าง ขุ่นๆ สีน้ำตาลเข้ม น้ำตาลอ่อนบ้าง บางประเภทมีกากใยอะไรก็ไม่ทราบลอยอยู่ด้วยอีกต่างหาก ยิ่งทำให้ดูน่าขนพองสยองเกล้า และที่สำคัญคือไม่รู้จะทานอย่างไร ทานเป็นช็อตเหมือนเตกีลา หรือผสมน้ำทาน หรือต้องผสมอะไรอีกบ้าง ทานเวลาไหนของวัน ปริมาณควรจะเท่าไหร่ คือสำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับน้ำหมักจะงงมากว่า ถ้าเราจะเริ่ม เราควรปฏิบัติตัวอย่างไร
ดังนั้น ด้วยน้ำหมักน่ารักๆ ที่เก็บไว้ในครัวแล้วทำอาหารได้หลายอย่าง หรือจะกินแบบผสมน้ำเปล่าเลยก็ทานได้ไม่โหดมากวันนี้เรามาลองเริ่มกันแบบซอฟต์ๆ
มาดูประโยชน์กันบ้าง ทำไมเราน่าจะลองเปิดใจกับน้ำหมักเปรี้ยวๆ ฉุนๆ ของน้ำส้มแอปเปิ้ลนี้
แม้น้ำหมักแอปเปิ้ล จะไม่สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ รวมถึงไม่ได้ป้องกันมะเร็งได้อย่างน่ามหัศจรรย์อย่างที่หลายๆ สำนักเคลมกัน แต่ด้วยงานวิจัยที่น่าเชื่อถือได้ ในปัจจุบันนี้พูดถึงประโยชน์ของน้ำหมักแอปเปิ้ลสองส่วนหลักๆ คือช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงอาจเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานค่ะ และจากการเก็บข้อมูลนั้นพบว่าน่าจะดีกับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานประเภทที่สอง หรือ Type 2 Diabetes แต่อย่างไรก็ตามการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็ส่งผลให้เกิดความชราของเซลล์และโรคอื่นๆ ตามมาอีกมาก ดังนั้นหากใครต้องการชะลอวัยก็สามารถได้ประโยชน์จากน้ำหมักแอปเปิ้ลนี้แบบเต็มๆ โดยเฉพาะการรับประทานนั้น หากมื้อใดเรารู้ว่าเราจะหนักแป้งหนักน้ำตาล เราก็สามารถทานควบคู่ได้ โดยอาจผสมน้ำดื่มสักหนึ่งถึงสองช้อนชาดื่มก่อนอาหาร จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลลดลงอย่างชัดเจน เช่น หากเราทานขนมปังขาว 50 กรัม น้ำส้มหมักจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 34%
การบริโภคน้ำหมักแอปเปิ้ลก่อนมื้อหรือระหว่างมื้ออาหาร โดยเฉพาะอาหาร High Carb อาหารหนักแป้ง จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วกว่าและลดการบริโภคแป้งเฉลี่ยได้ถึง 200-275 แคลอรี ในงานวิจัยหนึ่งที่เก็บข้อมูลเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าในผู้ใหญ่ที่มีภาวะอ้วน หากบริโภคน้ำส้มหมักวันละ 1 ช้อนชา จะลดน้ำหนักได้ 1.2 กิโลกรัม และหากบริโภค 2 ช้อนชา จะลดได้รวม 1.7 กิโลกรัม แต่อย่างไรก็ตามการลดน้ำหนักที่ได้ผลดีสุดคือการรวมเทคนิคหลายๆ เทคนิคที่ได้ผลเข้าด้วยกัน รวมถึงการออกกำลังกาย การยกเวต และจัดการอาหารที่ดีกับสุขภาพและเหมาะกับการควบคุมน้ำหนัก
ฟังแบบนี้แล้วอาจคิดว่าทานอย่างไรจะอร่อยสุด สำหรับหนูดีเองแล้วมีสูตรเด็ดหลายสูตรค่ะ ขอแชร์เป็นน้ำดื่มและสลัดก็แล้วกัน
สูตรน้ำดื่มเปรี้ยวอมหวาน : น้ำเชื่อมเมเปิ้ล (หรือน้ำผึ้ง) 1-2 ช้อนโต๊ะ (หรือช้อนชา แล้วแต่ความกลัวหวานของเรา) น้ำส้มหมักแอปเปิ้ล 1 ช้อนโต๊ะ (หรือช้อนชา แล้วแต่ความกลัวเปรี้ยวของเรา) ใส่น้ำแข็ง และเทน้ำดื่มให้เต็มหนึ่งแก้ว (บางคนอาจเทโซดาและบีบมะนาว) สูตรนี้ทำทานได้ประจำ ปรับไปมาดูตามรสของลิ้นเรานะคะ เพราะบางคนชอบกลิ่นน้ำผึ้ง ส่วนหนูดีกลับพบว่าน้ำเชื่อมเมเปิ้ลหวานอ่อนๆ ถูกใจเราดีค่ะ
สูตรน้ำสลัดราสพ์เบอร์รี่ : ราสพ์เบอร์รี่แช่แข็งประมาณ 1/2 ถ้วยตวง ใส่น้ำผึ้ง ดอกเกลือ น้ำส้มหมักแอปเปิ้ล น้ำมันสลัด (หนูดีใช้น้ำมันมะกอกสดหรือน้ำมันมะพร้าวหีบเย็น) ผสมจนเข้ากันและทิ้งให้ราสพ์เบอร์รี่ละลาย อร่อยสุดๆ ปรับปริมาณทุกอย่างตามใจชอบค่ะ ตอนจบอาจป่นพริกไทยใส่ได้ค่ะ
อีกสูตรคือ “ยำแตงกวา” ซอยแตงกวาญี่ปุ่นสด ใส่น้ำส้มแอปเปิ้ล โรยเกลือ ใส่น้ำมันงา คลุกๆ แล้วทานเลย หนูดีทานได้ทีละหนึ่งชามโตๆ
แต่ที่ง่ายสุดคือ ผสมน้ำส้มแอปเปิ้ล 2 ช้อนชากับน้ำเปล่าแล้วดื่มก่อนอาหารสิบห้านาที ช่วยทั้งการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร หนูดีทำทานประจำเพราะง่ายสุด
หากใครมองหาวัตถุดิบทำอาหารคลีนที่อร่อยและประโยชน์สูง ลองเปิดใจให้น้ำหมักแอปเปิ้ลนะคะ หนูดีเลิฟและมีติดครัวตลอดเวลา
ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ เรื่องโดย หนูดี-วนิษา เรซ
เข้าชม : 291
|